5 เรื่องสำคัญ! ในการติดตั้งและตรวจสอบเบรกเกอร์ (Circuit Breaker) อย่างถูกต้อง
เบรกเกอร์ (Circuit Breaker) เป็นอุปกรณ์สำคัญในการป้องกันระบบไฟฟ้าจากความเสียหายที่เกิดจากกระแสไฟฟ้าเกินหรือไฟฟ้าลัดวงจร การติดตั้งและดูแลรักษาเบรกเกอร์อย่างถูกวิธีจึงเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับวิศวกรไฟฟ้าทุกคน โดยเฉพาะผู้เริ่มต้น ควรทำความเข้าใจอย่างถ่องแท้
1. ระยะห่างฉนวนทางด้านแหล่งจ่ายไฟ
การรักษาระยะห่างฉนวน (arc space หรือ insulation space) ระหว่างขั้วเบรกเกอร์กับแผงโลหะหรือเบรกเกอร์อื่นๆ เป็นสิ่งสำคัญมากของระบบไฟฟ้า โดยเป็นระยะทางที่กำหนดระหว่างส่วนที่มีไฟฟ้ากับส่วนที่เป็นกราวด์หรือโลหะที่อาจเข้าถึงได้ เพราะเมื่อมีการตัดวงจรที่มีกระแสสูง ประจุไอออนไนซ์จะพุ่งออกจากช่องระบายก๊าซ การเว้นระยะห่างที่เพียงพอจะช่วยป้องกันการเกิดไฟฟ้ารั่วหรืออาร์คไฟฟ้า ซึ่งอาจนำไปสู่การลัดวงจร อัคคีภัย หรืออันตรายต่อผู้ใช้งานได้ หากระยะห่างไม่เป็นไปตามมาตรฐาน อาจทำให้เบรกเกอร์ไม่สามารถทนต่อแรงดันไฟฟ้าสูงชั่วขณะได้ การติดตั้งที่ถูกต้องตามมาตรฐานจึงช่วยลดความเสี่ยง เพิ่มความปลอดภัย และยืดอายุการใช้งานของอุปกรณ์ การออกแบบติดตั้งจึงควรกำหนดระยะ A, B1/B2, C, D1 และ D2 อย่างเหมาะสม
ค่าแนะนำตามมาตรฐาน (สำหรับรุ่น 440 VAC หรือต่ำกว่า):

ระยะ (mm) | ไม่มีฝาครอบ | มีฝาครอบ |
---|---|---|
A (ระยะจากเพดาน) | 50–200 | – |
B1/B2 (ระยะแนวตั้ง) | 50–200 | 50–200 |
C (ระยะฉนวน) | 5–25 | 10–20 |
D1 (ระยะห่างระหว่างขั้ว) | 20–80 | 25–80 |
D2 (ระยะห่างระหว่างเบรกเกอร์) | 50 | 50 |
2. ผลกระทบของทิศทางการติดตั้งเบรกเกอร์
เบรกเกอร์ชนิด electronic และ thermo‑magnetic นั้นไม่ค่อยเปลี่ยนตามมุมการติดตั้ง แต่ถ้าเป็นเบรกเกอร์ชนิด hydraulic‑magnetic ซึ่งใช้หลักการแรงดูดแม่เหล็กพร้อมน้ำมันตามโครงสร้าง มุมติดตั้งจะมีผลต่อค่ากระแสตัดไฟ (operating current) ได้ เนื่องจากแรงโน้มถ่วงกระทำต่อแกนเหล็กภายใน ค่ากระแสพิกัดอาจเพิ่มขึ้นหรือลดลงจากค่ามาตรฐานได้ จึงแนะนำให้ติดตั้งในแนวตั้งเป็นหลัก เพื่อให้ได้ประสิทธิภาพการตัดที่คงที่และลดปัจจัยความคลาดเคลื่อนที่อาจเกิดขึ้น หากจำเป็นต้องติดตั้งในแนวนอนหรือทิศทางอื่น ควรตรวจสอบคู่มือผู้ผลิตและใช้ค่า derating ตามที่ระบุ
- แนวตั้ง: เหมาะสมที่สุดสำหรับการทำงานและความปลอดภัย
- แนวนอนหรือเอียง: อาจต้องลดค่ากระแสใช้งานสูงสุด (Derating)
3. การต่อสายไฟฟ้าขาเข้าและขาออก
การต่อสายไฟฟ้าที่เหมาะสมช่วยให้เบรกเกอร์ทำงานได้เต็มประสิทธิภาพ การต่อแบบปกติ Normal connection คือสาย Line (ไฟเข้า) ด้านบน และสาย Load (ไฟออก) ด้านล่าง เพื่อให้เบรกเกอร์ทำงานได้เต็มประสิทธิภาพ
หากจำเป็นต้องต่อแบบ ย้อนกลับ (Reverse connection) ควรตรวจสอบว่าเบรกเกอร์รุ่นนั้นรองรับหรือไม่ ตัวอย่างเช่น:
- รุ่นที่รองรับ: NF-C/S/H/R/U, CP30-BA, NV-C/S/H/R (400–800 AF)
- รุ่นทั่วไป: ไม่ควรต่อย้อนกลับ เพราะจะลดความสามารถในการตัดวงจร
4. การตรวจสอบหลังการทริป (Inspection after Tripping)
หากเบรกเกอร์ ตัดวงจร (Trip) ไม่ควรเปิดกลับทันที ควรตรวจสอบสาเหตุอย่างรอบคอบ เช่น:
- วัดกระแสไฟฟ้าและความต้านทานฉนวน (Insulation Resistance)
- หากไม่ทราบสาเหตุของการทริป ให้ถอดเบรกเกอร์มาทดสอบดังนี้:
- วัดค่า IR (Insulation Resistance) ต้องได้ ≥ 5 MΩ (ถ้าต่ำกว่านี้ควรเปลี่ยนทันที)
- ทดสอบ Withstand Voltage ตามคู่มือ
- ทดสอบปุ่ม TEST (สำหรับ ELCB) เพื่อเช็กการทำงานของระบบตรวจจับกระแสรั่ว
5. กรณีศึกษาการทำงานผิดพลาดของ ELCB (Cases of Unnecessary ELCB Operation)
เบรกเกอร์กันไฟรั่ว (ELCB) มีหน้าที่ตัดวงจรทันทีเมื่อพบกระแสรั่วที่อาจเป็นอันตรายต่อผู้ใช้งาน แต่ในหลายกรณี ELCB อาจทำงานโดยไม่จำเป็น ทำให้เกิดปัญหาในกระบวนการผลิตหรือเครื่องจักรหยุดชะงัก
กรณีที่พบบ่อย:
- สายดินเดินผิดวิธี: เช่น PE (Protective Earth หรือ สายดินเพื่อความปลอดภัย) ของโหลดต่อเข้ากับกราวด์โดยไม่ผ่านเบรกเกอร์ → เกิดการตรวจจับกระแสรั่วเทียม
- อุปกรณ์รบกวนสัญญาณ (Inverter, SSR): ทำให้เกิดคลื่นรบกวนที่ตรวจจับเป็น leakage
- ความชื้นหรือหยดน้ำ: ภายในตู้ควบคุมทำให้เกิดการนำไฟฟ้าโดยไม่ได้ตั้งใจ
- เลือก ELCB ไวเกินไป: ใช้ 30 mA ในวงจรที่มี leakage ธรรมชาติจากสายยาวหรือโหลดหลายตัว
- ต่อ Neutral ผิด: ใช้ N ร่วมกันหลายวงจร → เกิดกระแสย้อนที่ ELCB ตรวจจับ
ตัวอย่างสภาวะรบกวนที่พบบ่อยในระบบไฟฟ้า:
จากภาพด้านบน แสดงให้เห็นถึงแหล่งกำเนิดสัญญาณรบกวนหรือสภาวะผิดปกติที่อาจทำให้เกิดการทำงานผิดพลาดของเบรกเกอร์หรืออุปกรณ์ไฟฟ้า โดยแต่ละหมายเลขในภาพอธิบายสถานการณ์ที่พบบ่อยในระบบไฟฟ้าอุตสาหกรรม:
① แรงดันเหนี่ยวนำจากฟ้าผ่า (Induced lightning) อาจทำให้เกิดแรงดันสูงชั่วขณะไหลเข้าสู่ระบบไฟฟ้า แม้ไม่โดนสายไฟโดยตรง แต่สนามแม่เหล็กที่เกิดจากฟ้าผ่าก็สามารถเหนี่ยวนำแรงดันเข้าสู่ระบบได้
② สนามแม่เหล็กภายนอก (Effect of external magnetic field) จากเครื่องจักรใหญ่หรือหม้อแปลง สามารถเหนี่ยวนำสัญญาณรบกวนเข้าสู่สายไฟ
③ การเกิดสวิตชิ่งเซิร์จ (Occurrence of switching surge) ซึ่งเกิดจากการเปิด-ปิดวงจรหรือโหลดขนาดใหญ่ ทำให้เกิดแรงดันกระชากไหลในระบบ
④ ค่าความจุไฟฟ้าระหว่างสายกับดิน (Ground electrostatic capacity) เมื่อเกิดการสะสมประจุไฟฟ้าไว้ในสาย หากไม่มีระบบกราวด์ที่ดี กระแสไฟ ig อาจไหลย้อนเข้าสู่อุปกรณ์
⑤ กระแสสูงขณะเริ่มสตาร์ทมอเตอร์ (Large current at starting) อาจรบกวนอุปกรณ์ไฟฟ้าใกล้เคียง หรือทำให้เบรกเกอร์ทำงานโดยไม่จำเป็น
จากสถานการณ์เหล่านี้จะเห็นได้ว่า “การต่อสายดิน (Grounding)” ที่เหมาะสมและการจัดการสายไฟที่ถูกต้อง เป็นหัวใจสำคัญในการลดปัญหา ELCB ทำงานโดยไม่จำเป็น และยังช่วยยืดอายุอุปกรณ์ได้อีกด้วย.
สรุป
เบรกเกอร์ไฟฟ้าไม่ใช่แค่สวิตช์เปิด-ปิดวงจร แต่เป็นด่านป้องกันความปลอดภัยชั้นแรกของทั้งระบบ การเข้าใจหลักการติดตั้งอย่างถูกต้อง ทั้งด้านฉนวน ทิศทางการติดตั้ง การต่อสาย รวมถึงพฤติกรรมของ ELCB จะช่วยลดปัญหาไฟฟ้าขัดข้อง และยืดอายุการใช้งานของระบบไฟฟ้า จะช่วยให้ระบบไฟฟ้าทำงานได้อย่างปลอดภัยและมีประสิทธิภาพสูงสุด สามารถเลือกชมสินค้าได้ที่ MITSUBISHI Breakers ในสัปดาห์หน้าเราจะมีบทความอะไรมานำเสนอ เชิญมาติดตามไปพร้อมๆกันนะครับ รู้ครบจบที่นี่ MiSUMi Technical